
อนาคตอุตสาหกรรมเพชร: การจัดการกับโอกาสและความท้าทาย
Paul Zimnisky นักวิเคราะห์เพชรกล่าวในการนำเสนอในงาน Bharat Diamond Bourse (BDB) Leadership Series เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ว่า แม้อุตสาหกรรมเพชรจะเผชิญกับอุปสรรคต่างๆ ในขณะนี้ แต่มูลค่าในตลาดทั่วโลกยังคงสูงถึง 8 หมื่นล้านเหรียญ
Paul Zimnisky กล่าวว่า แม้จะมีความท้าทายในปัจจุบัน แต่ภาพรวมในระยะยาวนั้นเกี่ยวข้องผูกพันอย่างยิ่งกับการเติบโตของจำนวนประชากรทั่วโลก การขยายตัวของชนชั้นกลาง และรายได้ที่สูงขึ้น ดังนั้น เมื่อมองไปในอนาคตอีก 10-30 ปีข้างหน้า อุตสาหกรรมเพชรยังคงมีโอกาสที่จะเติบโต
ตัวเร่งการเปลี่ยนแปลง: ผลกระทบของตลาดโลก
สหรัฐฯ เป็นประเทศผู้บริโภคเพชรรายใหญ่ที่สุด โดยมีสัดส่วนมากกว่าครึ่งของความต้องการเพชรทั่วโลก ในขณะที่ความสามารถในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศหลังวิกฤตโรคระบาดจะสร้างความประหลาดใจไม่น้อย เนื่องจากมีอัตราการจับจ่ายใช้สอยที่มั่นคงแม้มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เชื่องช้า แต่คาดการณ์ว่ายอดขายเพชรจะลดลงเล็กน้อยในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ความต้องการยังสูงกว่าระดับในช่วงก่อนวิกฤติโรคระบาด
ในทางตรงกันข้าม จีนซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นตลาดเพชรที่ใหญ่เป็นอันดับสอง อุปสงค์กลับลดน้อยลงเนื่องจากผลกระทบทางจิตวิทยาและการเงินจากการล็อคดาวน์ที่ยืดเยื้อ ผู้บริโภคชาวจีนจึงเกิดความลังเลที่จะใช้จ่ายเงินในการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยอย่างเพชร แม้จะมีปัจจัยเรื่องนี้ จีนก็ยังมีสัญญาณของการฟื้นตัว เนื่องจากรัฐบาลได้ดำเนินการกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภคโดยการอัดฉีดแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ กระนั้นก็ตาม การชะลอตัวในระดับโครงสร้างในจีนอาจต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว
ขณะเดียวกัน อินเดียได้แซงหน้าจีนและกำลังก้าวขึ้นมาเป็นตลาดเพชรขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สองของโลก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่ชัดเจนของการเติบโต
การแปรผันของอุปทาน
เหมืองเพชรสำคัญของโลกหลายแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหมืองในแคนาดาและแอฟริกาใต้ใกล้จะมาถึงจุดสิ้นสุดของอายุในการทำเหมือง ซึ่งจะยิ่งเป็นปัจจัยบีบปริมาณอุปทาน ทั้งนี้ผลผลิตจากเหมืองในนามิเบียยังคงที่ ขณะที่ผลผลิตจากเหมืองในคองโกลดลงอย่างมาก
ภาพจาก https://gjepc.org/solitaire
ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ผลผลิตเพชรธรรมชาติลดลงจาก 175 ล้านกะรัตไปอยู่ที่ 100 ล้านกะรัตในปีนี้ เป็นที่คาดการณ์กันว่าปริมาณผลผลิตจะยังคงอยู่ในระดับต่ำเช่นเดียวกับในช่วงหลายสิบปีมานี้ โดยอยู่ในช่วงระหว่าง 105-120 ล้านกะรัต ไปจนถึงสิ้นทศวรรษ 2020 บริษัทผู้ประกอบการเหมืองตอบสนองราคาปัจจุบันที่อยู่ในภาวะถดถอยโดยการลดการผลิต ปฏิกิริยานี้เป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ เนื่องจากอุปทานเพชรมีความไวอย่างยิ่งต่อการทำกำไร ดังนั้น หากราคาสูงขึ้นมักจะนำไปสู่การเพิ่มกำลังการผลิตเหมือง ขณะที่ราคาที่ต่ำผลักดันให้บริษัทระงับการผลิต
ระบบการดูแลตัวเองภายในอุตสาหกรรมเช่นนี้ช่วยรักษาเสถียรภาพของตลาดในช่วงที่มีความท้าทาย
การลดลงนี้ส่วนหนึ่งมาจากการใกล้หมดทรัพยากรลงของเหมืองเก่า เช่น เหมืองที่มีชื่อเสียงอย่าง Diavik, Kimberly, Murowa, Zamitsa และ Almazy-Anabara ซึ่งคาดว่าใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดทางเศรษฐกิจหรือหมดอายุการทำเหมืองในทศวรรษหน้า ขณะนี้เหมืองเหล่านี้มีผลผลิตรวมอยู่ที่ 15-20 ล้านกะรัตต่อปี คิดเป็นประมาณ 15% ของอุปทานทั้งหมดของโลก
เหมือง Luele ในแองโกลาเป็นแหล่งใหม่ที่สำคัญพียงแห่งเดียวที่มีศักยภาพในทศวรรษนี้ อย่างไรก็ตาม De Beers กำลังดำเนินการโครงการต่อขยาย “Cut-9” ใน Jwaneng ซึ่งจะขยายอายุเหมืองซึ่งเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงสุดนี้ ได้ต่อไปถึงทศวรรษ 2050 และจะยังคงให้ผลผลิตในสัดส่วน 15% ของอุปทานเพชรทั่วโลกในเชิงมูลค่าและ 10% ในเชิงปริมาณ
นอกจากนี้ ส่วนต่อขยาย “Cut-3” ของ Orapa ก็กำลังดำเนินการ ทั้งสองโครงการใช้งบประมาณในการลงทุนหลายพันล้าน และอย่างน้อยจะยืดอายุเหมืองที่สำคัญที่สุดของบริษัททั้งสองแห่งนี้ได้ตลอดทศวรรษ 2030
ภาพเหมืองเพชร Jwaneng ในบอตสวานา จาก https://www.mining.com/
ขณะเดียวกัน ต้นทุนในการดำเนินการที่ขยับตัวสูงขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อ ยิ่งลดส่วนแบ่งกำไรสำหรับบริษัทผู้ประกอบการเหมือง
ขณะที่อุปทานเพชรธรรมชาติลดลง สินค้าคงคลังกลางน้ำกลับพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในช่วงยี่สิบปีมานี้ ทำให้ส่วนแบ่งของผู้ผลิตลดลง ส่งผลให้ผู้ผลิตจึงลดการซื้อเพชรก้อนลง บริษัทต่างๆ อย่าง De Beers ได้ลดการผลิตเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคา แต่ราคาจะไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจนอย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงปี 2025
การเปลี่ยนแปลงของตลาด
ตลาดเครื่องประดับเพชรโลกมีมูลค่าประมาณ 7.6 หมื่นล้านเหรียญในปี 2024 เพชรสังเคราะห์มีเป้าหมายจะครองสัดส่วน 1.5 หมื่นล้านเหรียญของมูลค่าตลาดเครื่องประดับเพชรทั่วโลก แม้จะประมาณการว่ามีสัดส่วนเพียง 1 หมื่นล้านเหรียญของมูลค่าดังกล่าวเป็นสัดส่วนที่ช่วงชิงมาจากเพชรธรรมชาติโดยตรง
การผลิตเพชรสังเคราะห์สำหรับเครื่องประดับโดยเฉพาะมีปริมาณราว 25 ล้านกะรัตต่อปี เทียบกับผลผลิตเพชรธรรมชาติที่มีปริมาณ 110 ล้านกะรัต และมีเพียงร้อยละ 50-60% เท่านั้นที่ใช้ในการผลิตเครื่องประดับได้
ตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา ผลผลิตเพชรสังเคราะห์สำหรับเครื่องประดับโตขึ้นสองเท่าในทุกสองปี ในขณะที่มีการผลิตเพชรโดยการสังเคราะห์ของมนุษย์กว่า 1.2 หมื่นล้านกะรัตต่อปีเพื่อใช้ในอุตสาหกรรม
ด้วยต้นทุนการผลิตที่ต่ำมาก เพชรสังเคราะห์จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญในตลาด โดยมีผลผลิตที่ยังคงขยายตัวต่อไปในระดับปานกลางหลังจากการขยายตัวแบบก้าวกระโดดในปี 2021 และ 2022 อย่างไรก็ตาม จากการที่เพชรสังเคราะห์มีต้นทุนต่ำมีภาวะอิ่มตัวในตลาด ผู้ผลิตจึงกำลังหาแนวทางในการสร้างความแตกต่างผ่านการนำเสนอสินค้าที่มีสีสัน รูปทรง และการออกแบบที่แปลกใหม่
ความต้องการของผู้บริโภคโดยตรง
ความไม่แน่นอนในช่วงวิกฤติโรคระบาดได้ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยคาดการณ์ว่าในปี 2024 ยอดขายเพชรในสหรัฐฯ จะลดลงเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าช่วงก่อนวิกฤติโรคระบาด
ในปี 2024 ยอดขายของบริษัทใหญ่ในสหรัฐลดลงในอัตราเลขตัวเดียวระดับกลาง เมื่อเทียบกับยอดขายของปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตามยอดขายยังคงสูงกว่าระดับก่อนวิกฤติโรคระบาด ตัวอย่างเช่น Signet มียอดขาย 6.98 พันล้านเหรียญ ในปี 2024 ในขณะที่ยอดขายเมื่อปี 2019 อยู่ที่ 6.19 พันล้านเหรียญ
นอกจากนี้ ราคาแหวนหมั้นยังลดลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนหนึ่งเกิดจากการผลักดันเพชรสังเคราะห์ของอุตสาหกรรม ผู้บริโภครุ่นก่อนๆ มองเพชรเป็นสัญลักษณ์ของความรักและความหรูหรา บ่อยครั้งจะใช้เงินจำนวนมากไปกับการซื้อแหวนหมั้น แนวโน้มในช่วงหลังๆ แสดงให้เห็นว่าผู้ซื้อวัยหนุ่มสาวไม่ค่อยยินดีที่จะใช้เงินจำนวนมากในการซื้อเพชร โดยงบประมาณเฉลี่ยในการซื้อแหวนหมั้นลดลง 20%
ในระยะกลาง คาดการณ์ว่าการหมั้นจะมีอัตราสูงขึ้น 25% ตั้งแต่ปี 2024 ถึง 2026 อันเนื่องมาจากความสัมพันธ์ที่มั่นคงขึ้นหลังวิกฤติโรคระบาด
ภาพการซื้อขายเครื่องประดับเพชรในงานแฟร์ที่ปักกิ่ง จาก https://global.chinadaily.com.cn/
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าจีนและอินเดีย ซึ่งขณะนี้มีสัดส่วนรวมกัน 25% ของความต้องการเพชรทั่วโลก จะแซงหน้าสหรัฐฯ ซึ่งมีสัดส่วน 50% ในช่วงทศวรรษหน้า โดยแนวโน้มเชิงบวกยังเห็นได้ชัดในจีน แม้ว่าการแต่งงานจะมีอัตราที่ลดลงในตลาดตะวันตกและจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายเพชรสำหรับเจ้าสาวในอัตราส่วนต่อคน การขยายตัวของประชากรโดยรวม การเติบโตของชนชั้นกลาง และอัตราการซื้อสินค้าให้ตัวเองที่สูงขึ้นของผู้หญิงเป็นตัวช่วยชดเชยแนวโน้มดังกล่าว
ขณะเดียวกัน การฟื้นตัวที่เชื่องช้าของจีนยังคงเป็นตัวฉุดรั้งความต้องการ แม้ว่าอินเดียจะยังคงเป็นตลาดที่มีอนาคตสดใสก็ตาม
ในระยะยาว คาดการณ์ว่า อัตราการขยายตัวของประชากรโลก การเติบโตของรายได้ของชนชั้นกลาง และการซื้อสินค้าให้ตัวเองที่เพิ่มมากขึ้นของกลุ่มผู้หญิงจะช่วยส่งเสริมความต้องการเพชร การดำเนินการทางการตลาดของอุตสาหกรรม เช่น ความร่วมมือระหว่าง Natural Diamond Council, De Beers และผู้ค้าปลีกรายใหญ่ๆ จะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมคุณค่าของเพชรธรรมชาติ
ความท้าทายทางการตลาด
หนึ่งในประเด็นเร่งด่วนที่สุดของอุตสาหกรรมเพชร คือการทำตลาดที่ดีขึ้น ที่ผ่านมาแคมเปญ “Diamonds are Forever” ของ De Beers เป็นเครื่องมือในการสร้างความสำคัญทางวัฒนธรรมของเพชร โดยเฉพาะแหวนหมั้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเป็นเจ้าตลาดของ De Beers อ่อนแอลงในช่วง 25 ปีที่ผ่านมานี้ อุตสาหกรรมจึงกำลังพยายามแสวงหาแนวทางที่เป็นหนึ่งเดียวกัน
ภาพโฆษณาแคมเปญ Diamonds are Forever จาก https://news.jewellerynet.com/
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ การตลาดทั่วโลกลงทุนกับเพชรธรรมชาติลดลงเหลือแค่เศษเสี้ยวของงบประมาณที่เคยใช้ไปในช่วงรุ่งโรจน์ของ De Beers ทุกวันนี้งบประมาณรายปีมีอัตราส่วนน้อยกว่า 20% ของที่งบประมาณในปีที่ผ่านๆ มา ทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ในการตระหนักรู้ของผู้บริโภค เพื่อให้ไม่ตกขบวน อุตสาหกรรมต้องลงทุนอย่างหนักในการส่งเสริมคุณค่าของเพชรธรรมชาติ โดยเฉพาะในยุคที่การแข่งขันกับเพชรสังเคราะห์รุนแรงยิ่งขึ้น
ถึงกระนั้นก็ยังมีสัญญาณที่ดีของความร่วมมือในอุตสาหกรรม โดย De Beers ได้จับมือกับผู้ประกอบการเครื่องประดับรายใหญ่ เช่น Signet (สหรัฐฯ) Tanishq (อินเดีย) และ Chow Tai Fook (จีน) ในการฝึกพนักงานขายในการประชาสัมพันธ์คุณลักษณะของเพชรธรรมชาติ วิธีการนี้ทำให้ย้อนนึกถึงการประชาสัมพันธ์แคมเปญ “Diamonds are Forever” ซึ่งเน้นการให้ข้อมูลผู้บริโภคและพนักงานขายถึงคุณค่าที่ยืนยาวของเพชรธรรมชาติ
หนทางเบื้องหน้า
นาคตของอุตสาหกรรมเพชรยังห่างไกลจากคำว่ามืดมน แม้กำลังเผชิญกับความท้าทายจากความต้องการที่ลดลงในจีน การแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นจากเพชรสังเคราะห์และการข้อจำกัดด้านอุปทาน แต่ความสามารถในการจัดการอุปทานเพชร และฐานผู้บริโภคที่กำลังเติบโตในประเทศต่างๆ อย่างเช่น อินเดีย ทำให้การฟื้นตัวยังมีความหวัง
การตลาดจะเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อความสำเร็จของอุตสาหกรรม การเสริมสร้างคุณค่าทางอารมณ์และคุณค่าเชิงสัญลักษณ์ของเพชรธรรมชาติ โดยเฉพาะในหมู่ผู้บริโภควัยหนุ่มสาว จะทำให้อุตสาหกรรมเพชรสามารถกลับมาสร้างพื้นที่ใหม่ในกระแสได้อีกครั้ง ด้วยการร่วมมือกับผู้ผลิต ผู้ค้าปลีก และรัฐบาลต่างๆ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนของอุปสงค์และอุปทาน
ขณะที่ภาพรวมระยะสั้นอาจมีความไม่แน่นอน อุตสาหกรรมเพชรก็ยังมีศักยภาพในการปรับตัวและเติบโตในระยะยาว และอนาคตในอีกหลายปีข้างหน้าก็ยังคงมีแนวโน้มที่สดใส
แปลและเรียบเรียงโดย ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
มกราคม 2568