ภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ศึกหนักของอัญมณีและเครื่องประดับไทย
เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariff) กับทุกประเทศ โดยกำหนดอัตราภาษีศุลกากร 10% กับสินค้าที่ประเทศส่วนใหญ่นำเข้ามาในสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2568 และยังกำหนดอัตราที่สูงกว่า สำหรับประเทศที่สหรัฐฯ มีการขาดดุลการค้าสูง ซึ่งไทยจะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น 36% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เมษายน 2568
จากตารางข้างบน ประเทศที่อยู่นอกเหนือจากตารางนี้ จะถูกเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 10 ทั้งนี้ ในหมวดสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่ไม่ถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ โลหะเงินที่ยังไม่ได้ขึ้นรูป (71069110) ทองคำที่ยังไม่ได้ขึ้นรูป (71081210) โลหะแพลทินัม (7110) เศษหรือของที่ใช้ไม่ได้ ทำด้วยแพลทินัม (71129201) และเหรียญกษาปณ์ (71189000)
สำหรับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากไทยตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2568 เป็นต้นไปนั้น สรุปได้ดังตารางที่ 1.2
จากตาราง 1.2 แคนาดา และเม็กซิโกที่ถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 25% - 38.5% ส่วนจีน ถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูงสุด 166% มื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไปยังสหรัฐฯ จากข้อมูลของกรมศุลกากร พบว่าในปี 2567 ไทยส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไปยังสหรัฐฯ ด้วยมูลค่า 1,973.92 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าส่งออกหลัก 3 อันดับแรก คือ เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเงิน และพลอยเนื้อแข็งเจียระไน
1. เครื่องประดับทอง
ผู้ส่งออกเครื่องประดับทองไปยังสหรัฐฯ ใน 5 อันดับแรก ได้แก่ อินเดีย (19.02%) สวิตเซอร์แลนด์ (13.64%) ฮ่องกง (11.75%) อิตาลี (7.07%) และจีน (6.61%) ส่วนไทยเป็นผู้ส่งออกในอันดับ 7 มีสัดส่วน 4.98% ไทยถูกเรียกเก็บภาษีเครื่องประดับทองสูงสุด 41.8% ส่วนอินเดีย เสียภาษีนำเข้า 31.8% สวิตเซอร์แลนด์ 36.8% ฮ่องกง 109.8% อิตาลี 25.8% จีน 117.3%
จะเห็นได้ว่า ไทยเสียภาษีนำเข้าสูงกว่าอินเดีย สวิตเซอร์แลนด์ และอิตาลี
2. เครื่องประดับเงิน
ผู้ส่งออกเครื่องประดับเงินไปยังสหรัฐฯ ใน 5 อันดับแรก ได้แก่ ไทย (29.60%) อินเดีย (17.21%) อิตาลี (12.71%) จีน (10.92%) และฮ่องกง (7.39%) ไทยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 41%-49.5% อินเดียเสียภาษีนำเข้า 31%-39.5% อิตาลี 25%-33.5% จีน 116.5%-125% และฮ่องกง 109%-117.5%
จะเห็นได้ว่าไทยเสียภาษีนำเข้าสูงกว่าอินเดีย และอิตาลี
3. พลอยเนื้อแข็งเจียระไน
ผู้ส่งออกพลอยเนื้อแข็งเจียระไนไปยังสหรัฐฯ ใน 5 อันดับแรก ได้แก่ ฮ่องกง (28.16%) ไทย (19%) สวิตเซอร์แลนด์ (15.10%) ฝรั่งเศส (8.09%) และโคลอมเบีย (5.64%) ไทยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 36% ฮ่องกงเสียภาษีในอัตรา 104% สวิตเซอร์แลนด์ 31% ฝรั่งเศส 20% และโคลอมเบีย 0% (มี FTA กับสหรัฐฯ)
จะเห็นได้ว่าไทยเสียภาษีนำเข้าสูงกว่าสวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และโคลอมเบีย
4. พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน
ผู้ส่งออกพลอยเนื้ออ่อนเจียระไนไปยังสหรัฐฯ ใน 5 อันดับแรก ได้แก่ ไทย (19.81%) ฮ่องกง (16.99%) อิสราเอล (16.87%) อินเดีย (10.41%) และเยอรมนี (9.28%) ไทยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 36%-46.5% ฮ่องกงเสียภาษีนำเข้า 104%-114.5% อิสราเอล 17% อินเดีย 26%-36.5% เยอรมนี 10%-20.5%
จะเห็นได้ว่าไทยเสียภาษีนำเข้าสูงกว่าอิสราเอล อินเดีย และเยอรมนี
ผลกระทบต่อสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย
การที่สหรัฐฯ เพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยถึง 36% ส่งผลอย่างมากต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้ากลุ่มนี้ เพราะสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับหลักของไทยใน 5 อันดับแรก ทำให้ราคาสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยนำเข้าไปยังสหรัฐฯ แพงขึ้นหลายเท่าตัว ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันลดลงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ที่เจออัตราภาษีต่ำกว่าหรือมีข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ผู้บริโภคในสหรัฐฯ อาจหันไปซื้อสินค้าจากแหล่งอื่นที่ราคาถูกกว่า หรือเลือกสินค้าทดแทน เช่น เครื่องประดับสังเคราะห์ (synthetic jewelry) และเลือกสินค้าที่ผลิตในประเทศแทน ดังนั้น สินค้าหลักของไทยทั้งพลอยสีและเครื่องประดับแท้จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก อาจทำให้ยอดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไปยังสหรัฐฯ ลดลง และเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่งที่ถูกเก็บภาษีน้อยกว่า
ดังนั้น ผู้ส่งออกไทยจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์อย่างเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุน โดยใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ขยายตลาดไปยังภูมิภาคอื่น เช่น ยุโรป (ที่ไทยกำลังเจรจา FTA กับ EU คาดเสร็จปี 2568) หรือเอเชีย (จีน อินเดีย ญี่ปุ่น) และตะวันออกกลาง ซึ่งมีความต้องการอัญมณีคุณภาพสูงจากไทยอยู่แล้ว โดยเน้นเจาะตลาดลูกค้ากลุ่มบน ซึ่งอุตสาหกรรมอัญมณีไทยมีจุดแข็งเรื่องฝีมือการเจียระไนและดีไซน์ ถ้าปรับตัวไปเน้นสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (high-value niche) เช่น เครื่องประดับที่ออกแบบพิเศษหรืออัญมณีที่รับรองแหล่งที่มา (ethical sourcing) อาจรักษากำไรได้แม้ปริมาณส่งออกลดลง หรือร่วมมือกับภาครัฐในการเจรจาผ่อนปรนมาตรการกับสหรัฐฯ ในอนาคต
อย่างไรก็ดี รัฐบาลไทยกำลังเจรจากับสหรัฐฯ หากสำเร็จ อัญมณีและเครื่องประดับอาจได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนบางส่วน เพราะไม่ใช่สินค้าที่สหรัฐฯ ผลิตเองแข่งกับไทยโดยตรง ฉะนั้น ผู้ประกอบการจึงต้องติดตามนโยบายของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด
สรุปแล้วสินค้าอัญมณีของไทยจะเจอผลกระทบหลักๆ คือ ต้นทุนสูงขึ้นและยอดขายในสหรัฐฯ ลดลง แต่ด้วยจุดแข็งของไทยในด้านคุณภาพและฝีมือ ยังมีโอกาสปรับตัวได้
ทั้งนี้ สถาบันอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยไปยังสหรัฐฯ ผ่านประเทศคู่ค้าที่มีอัตราภาษีนำเข้าต่ำกว่า อันเป็นแนวทางหนึ่งในการรักษาระดับการส่งออกหรือบรรเทาผลกระทบต่อยอดการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยจากมาตรการภาษีใหม่นี้ให้น้อยที่สุด
ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
9 เมษายน 2568