คนรุ่นใหม่ผลักดันอุปสงค์เพชรสังเคราะห์เติบโตสูง
เพชรสังเคราะห์กำลังเดินหน้าสู่ก้าวสำคัญในตลาด เนื่องจากความคุ้มค่า ประเด็นทางสังคมที่สอดคล้องกับยุคสมัย และงานออกแบบที่ดึงดูดของแบรนด์ต่างๆ ช่วยให้ผู้บริโภครุ่นใหม่หันมาสนใจเพชรกลุ่มนี้
แบรนด์ Smiling Rocks
อุตสาหกรรมเพชรสังเคราะห์ที่ผลิตโดยห้องปฏิบัติการ (Lab-Grown Diamond: LGD) กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากสินค้ากลุ่มนี้นำเสนอประเด็นด้านความยั่งยืน ความยืดหยุ่น และนวัตกรรม ซึ่งสอดคล้องกับความสนใจของผู้บริโภคทั่วโลก
นักวิเคราะห์อุตสาหกรรม Paul Zimnisky ประมาณการว่าตลาดเครื่องประดับเพชรสังเคราะห์จะเติบโตเกือบสองเท่าภายในปี 2025 หรือคิดเป็นมูลค่าเกือบ 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยปริมาณการผลิตเพชรสังเคราะห์เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องประดับนั้นประมาณการว่าเติบโตจากเพชรสังเคราะห์เจียระไน 2-3 แสนกะรัตต่อปีเมื่อสี่ปีก่อน มาเป็นการผลิตเพชรสังเคราะห์เจียระไนเกือบ 3 ล้านกะรัตในปี 2021 คิดเป็นมูลค่าเกือบ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนเป็นเปอร์เซ็นต์เลขหลักเดียวเมื่อเทียบกับปริมาณเพชรเจียระไนรวมในตลาดเพชรทั่วโลก
Liz Chatelain ประธานบริษัทที่ปรึกษาและวิจัยตลาด The MVEye ประมาณการว่าเพชรสังเคราะห์คิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 8 ของปริมาณเพชรในตลาดเพชรทั่วโลกในปัจจุบัน “เพชรสังเคราะห์ขนาดใหญ่คุณภาพสม่ำเสมอจากห้องปฏิบัติการกำลังเป็นที่ต้องการทั่วทั้งตลาด เพชรสังเคราะห์แบบสีก็เป็นที่เสาะหามากเช่นกัน เพชรสังเคราะห์ซึ่งไม่ได้ผ่านการปรับปรุงคุณภาพหรือการปรับปรุงสีหลังการผลิตก็เป็นที่นิยมและกำลังกลายเป็นสินค้าที่สร้างความแตกต่างในภาคธุรกิจค้าปลีก” Chatelain เผย ซึ่งแม้สหรัฐน่าจะเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของเพชรสังเคราะห์ในขณะนี้ แต่ออสเตรเลีย อินเดีย จีน และยุโรปก็มีความต้องการที่เติบโตสูงเช่นกัน
Zulu Ghevriya ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแบรนด์เครื่องประดับเพชรสังเคราะห์ Smiling Rocks เห็นด้วยในประเด็นนี้ เขาชี้ว่าความต้องการเครื่องประดับเพชรสังเคราะห์พุ่งสูงขึ้นในสหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย ขณะที่ตลาดญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ก็เริ่มที่จะรู้จักสินค้าหมวดนี้มากยิ่งขึ้น “แต่เดิมตลาดเอเชียเชื่อว่าสินค้าหรูหราจะต้องเป็นสินทรัพย์มูลค่าสูง แต่ผู้บริโภคยุคใหม่ในเอเชียกลับมองว่าเพชรสังเคราะห์เป็นสินค้าหรูหราอีกตัวเลือกหนึ่งและชื่นชอบแนวคิดที่ผลิตภัณฑ์นี้นำเสนอ” Ghevriya กล่าว
เสน่ห์ของเพชรสังเคราะห์
Chatelain ระบุว่าการรับรู้และการยอมรับของผู้บริโภคช่วยผลักดันการเติบโตของเพชรสังเคราะห์ จากการสำรวจโดย The MVEye ในปี 2010 ผู้บริโภคในอเมริกาเหนือมีเพียงร้อยละ 9 ที่รู้จักเพชรสังเคราะห์ ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 16 ในปี 2012 ร้อยละ 21 ในปี 2014 และร้อยละ 30 ในปี 2016 ก่อนที่จะกระโดดขึ้นเป็นร้อยละ 58 ในปี 2018 และสูงถึงร้อยละ 80 ในปี 2020
Chatelain กล่าวว่าปัจจัยหลายประการส่งผลให้เพชรสังเคราะห์เป็นที่ยอมรับมากขึ้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผู้ค้าปลีกเปิดรับสินค้าหมวดนี้มากยิ่งขึ้นเนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ให้อัตรากำไรสูงและช่วยผลักดันกิจการควบคู่ไปกับเพชรจากเหมือง เมื่อลูกค้าถามถึงสินค้ากลุ่มนี้มากขึ้นก็ช่วยกระตุ้นให้ผู้ขายหันมาสั่งซื้อเพชรสังเคราะห์เข้าร้านมากขึ้นด้วย
แบรนด์ Smiling Rocks
การสนับสนุนแบรนด์เพชรสังเคราะห์โดยเหล่าคนดัง รวมถึงการลงทุนโดยเหล่าคนดังในบางกรณีนั้น ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความน่าสนใจของผลิตภัณฑ์หมวดนี้ในสายตาผู้บริโภค Chatelain เสริมว่า ความต้องการเพชรสังเคราะห์แข็งแกร่งขึ้นจากทัศนคติของชาวมิลเลนเนียลและ Gen Z ที่ใส่ใจด้านความยั่งยืน ซึ่งผลิตภัณฑ์เพชรสังเคราะห์ก็สะท้อนถึงแนวคิดนี้ การเติบโตของแบรนด์เพชรสังเคราะห์และการโฆษณาถึงผู้บริโภคโดยตรงจึงมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างการตระหนักรู้และความสนใจในสินค้าหมวดนี้
ความแตกต่างด้านราคาถือเป็นปัจจัยดึงดูดที่สำคัญอีกประการหนึ่ง Zimnisky กล่าวว่าผู้บริโภคสามารถซื้อเพชรสังเคราะห์เม็ดเดี่ยวที่มีคุณภาพดีกว่าค่าเฉลี่ยและมีขนาด 2.15 กะรัต ได้ในราคาเทียบเท่ากับที่ซื้อเพชรธรรมชาติจากเหมืองขนาด 1 กะรัต “โดยรวมแล้วราคาเพชรสังเคราะห์และเพชรธรรมชาติมีความแตกต่างกันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ในบางกรณีความแตกต่างร้อยละ 10 ถึง 15 เมื่อสองสามปีก่อนเพิ่มขึ้นกลายเป็นมากถึงกว่าร้อยละ 75 ในปัจจุบัน โดยความแตกต่างนั้นเกิดจากการที่เพชรสังเคราะห์นำเสนอส่วนลดเมื่อเทียบกับเพชรธรรมชาติที่มีขนาดและคุณภาพใกล้เคียงกัน” เขากล่าว
Chatelain ยืนยันว่า การประหยัดค่าใช้จ่ายเป็นปัจจัยผลักดันอันดับแรกหรืออันดับสองในการซื้อเพชรสังเคราะห์ ตามการวิจัยของ The MVEye “ผู้บริโภคถามหาเพชรสังเคราะห์เพราะต้องการประหยัดเงิน ซึ่งจะประหยัดได้ร้อยละ 30 ขึ้นไป หรือได้เพชรขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อเทียบกับการใช้เงินจำนวนเท่ากันซื้อเพชรธรรมชาติจากเหมือง ผู้บริโภคยังได้รับอิทธิพลจากการตระหนักถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืน และประเทศแหล่งที่มา ซึ่งส่งผลให้ผู้บริโภคมีมุมมองว่า เพชรสังเคราะห์เป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความรับผิดชอบต่อสังคมมากกว่า” Chatelain อธิบาย เธอเสริมว่าการรับรองเพชรก็ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของเพชรสังเคราะห์ในตลาดด้วย
การดำเนินงานของภาคธุรกิจ
ความต้องการเพชรสังเคราะห์ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดช่วยกระตุ้นการดำเนินงานในภาคธุรกิจนี้ ผู้ประกอบการกำลังจับมือกันเพื่อช่วยขยายตลาด ผู้ผลิตเพชรสังเคราะห์ก้าวไปข้างหน้าด้วยการพัฒนาเทคนิคอันล้ำสมัยเพื่อผลิตสินค้าที่ดียิ่งขึ้น และแบรนด์เครื่องประดับก็เปิดตัวคอลเล็กชันใหม่ๆ รวมถึงสำรวจตลาดเฉพาะกลุ่มใหม่ๆ ด้วย
สมาคม The International Grown Diamond Association (IGDA) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2016 ได้รวบรวมทีมผู้นำในอุตสาหกรรมนี้เพื่อช่วยกันสำรวจหาแนวทางเชิงกลยุทธ์และยุทธวิธีต่างๆ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ได้อาสาเข้ามาทำงานในคณะกรรมการกลุ่มผู้นำสากล (International Leadership Committee) ของ IGDA ได้แก่ Daniel Kahn รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ Lusix Vice, Vishal Mehta ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Lumex และ Irene Hsieh ผู้ก่อตั้ง Joy Colori
Richard Garard ผู้ก่อตั้งและประธานของ IGDA กล่าวว่าสมาคมที่ไม่หวังผลกำไรแห่งนี้วางเป้าหมายที่จะเป็นองค์กรสากลที่มีความหลากหลาย และเป็นตัวแทนที่เชื่อถือได้ของอุตสาหกรรมเพชรสังเคราะห์ โดยเป้าหมายสำคัญของ IGDA คือการเพิ่มจำนวนสมาชิกจากทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ค้าปลีกเครื่องประดับ จัดโครงการฝึกอบรมผู้ค้าปลีกเพื่อช่วยเพิ่มยอดขายเพชรสังเคราะห์ และสนับสนุนโครงการทางการตลาดของผู้ค้าปลีกเพื่อให้ความรู้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หมวดนี้
สมาชิกคณะกรรมการกลุ่มผู้นำ Charlotte Daehn ผู้อำนวยการด้านการสื่อสารของ Courbet แบรนด์เครื่องประดับเพชรสังเคราะห์ในปารีส กล่าวว่า “เพชรสังเคราะห์เป็นอัญมณีรุ่นใหม่ซึ่งควรได้รับการนำเสนอด้วยความโปร่งใส ตรงไปตรงมา และปราศจากอคติ ตลาดเพชรสังเคราะห์กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การสร้างองค์กร IGDA ให้แข็งแกร่งจึงเป็นสิ่งจำเป็น คณะกรรมการกลุ่มผู้นำสากลมุ่งหวังที่จะแจกจ่ายเครื่องมืออันทรงประสิทธิภาพให้แก่ภาคอุตสาหกรรมและส่งสารอันชัดเจนไปยังผู้บริโภค”
ผู้ขายเครื่องประดับจากฮ่องกง Chow Sang Sang Group ได้สร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเพื่อขายเครื่องประดับแบรนด์เนมที่ใช้เพชรสังเคราะห์ให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง แพลตฟอร์มที่มีชื่อว่า The Future Rocks นี้ดำเนินการแยกจากเครือข่ายของ Chow Sang Sang และนำเสนอแบรนด์เครื่องประดับซึ่งใช้เพชรสังเคราะห์ โดยเป็นแบรนด์จากสหรัฐ สหราชอาณาจักร อิสราเอล และญี่ปุ่น เป็นต้น
การขยายตัวของแบรนด์
แวดวงเพชรสังเคราะห์เปิดกว้างรับแบรนด์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ดังที่ขยายธุรกิจมาสู่ตลาดเพชรสังเคราะห์ หรือกิจการที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและเน้นการนำเสนอเรื่องราวที่ดึงดูดใจว่าด้วยความโรแมนติกยุคใหม่และความยั่งยืน
Pandora เปิดตัวคอลเล็กชันเครื่องประดับเพชรสังเคราะห์ในสหราชอาณาจักรเมื่อเดือนพฤษภาคม 2021 หลังจากประกาศว่าจะไม่ใช้เพชรธรรมชาติจากเหมืองในเครื่องประดับของแบรนด์อีกต่อไป Pandora Brilliance นำสัญลักษณ์ความเป็นอนันต์มาสร้างสรรค์ใหม่เพื่อใช้เป็นลวดลายหลัก โดยประกอบด้วยเครื่องประดับประเภทแหวน กำไล สร้อยคอ และต่างหู แต่ละชิ้นประดับด้วยเพชรสังเคราะห์เม็ดเดี่ยวที่ฝังด้วยมือลงในตัวเรือนเงิน ทองคำ หรือทองขาว
แบรนด์ Pandora
ในการประชุมของ Pandora เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Alexander Lacik กล่าวว่าทางแบรนด์จะขยายพื้นที่ของ Pandora Brilliance ในช่วงหลังของปีนี้ “เราทดลองใช้รูปแบบธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในสหราชอาณาจักร โดยมุ่งเน้นการเสนอภาพสินค้า การจัดจำหน่าย และความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ผลลัพธ์ที่ได้รับนั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดอื่นๆ ต่อไป” เขาเผย
เพชรสังเคราะห์ยังเป็นเครื่องมืออันทรงประสิทธิภาพสำหรับการฟื้นชีวิตให้แบรนด์เครื่องประดับอีกด้วย โดยเฉพาะในฝรั่งเศส แบรนด์ Vever และ Oscar Massin เป็นแบรนด์เครื่องประดับเก่าแก่สองแบรนด์ของฝรั่งเศสที่ฟื้นฟูกิจการขึ้นมาใหม่พร้อมกับนำเสนอภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืนผ่านการใช้เพชรสังเคราะห์และโลหะมีค่ารีไซเคิล Vever กลับมาเปิดกิจการเมื่อปีที่แล้วหลังจากพักกิจการไป 40 ปี โดยนำเสนอชิ้นงานที่ได้แรงบันดาลใจจากศิลปะอาร์ตนูโว ขณะที่ Oscar Massin นำเทคนิคการออกแบบและลวดลายอันโด่งดังของตนเองมาใช้กับสไตล์งานยุคใหม่
ในขณะที่ Lightbox นั้นเปิดตัวในปี 2018 โดยนำเสนอเครื่องประดับฝังเพชรสังเคราะห์สีชมพู สีน้ำเงิน และไร้สีที่ราคา 800 เหรียญสหรัฐต่อกะรัต โดยบวกเพิ่ม 100 เหรียญสหรัฐสำหรับตัวเรือนเงิน และ 200 เหรียญสหรัฐสำหรับตัวเรือนทอง 10 กะรัต ปัจจุบันทางแบรนด์นำเสนอทั้งเพชรสังเคราะห์ขนาดใหญ่ เครื่องประดับฝังเพชรสังเคราะห์คุณภาพดี ไปจนถึงเพชรสังเคราะห์ร่วง
ในเดือนสิงหาคม 2021 ทางแบรนด์เริ่มจัดจำหน่ายเพชรสังเคราะห์สีชมพู สีน้ำเงิน และไร้สีในขนาดไม่เกิน 2 กะรัต ตามโครงสร้างราคามาตรฐานของทางแบรนด์ จี้เพชรขนาด 2 กะรัตจะมีมูลค่า 1,600 เหรียญสหรัฐบวกด้วยค่าตัวเรือน
Finest ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมของทางแบรนด์นั้น ประกอบด้วยเครื่องประดับทอง 18 กะรัตฝังเพชรสังเคราะห์ระดับ VVS สี D-E-F ที่ผลิตจากกระบวนการสร้างเพชรอันเป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะ เพชร Finest มีราคาอยู่ที่ 1,500 เหรียญสหรัฐต่อกะรัตบวกด้วยค่าตัวเรือน
Lightbox Loose Stones ขายเพชรสังเคราะห์ของทางแบรนด์ที่ราคา 200 เหรียญสหรัฐต่อหนึ่งส่วนสี่กะรัต ขณะที่คอลเล็กชัน Bezel ซึ่งเป็นคอลเล็กชันล่าสุดนั้นนำเสนอตัวเลือกเพิ่มเติมในการออกแบบ
Nick Smart ผู้อำนวยการฝ่ายพาณิชย์ของ Lightbox กล่าวว่า “จากการฟังเสียงของลูกค้า เราได้ทราบว่าลูกค้าสนใจเพชรที่มีน้ำหนักกะรัตสูงและคุณภาพสูง สิ่งสำคัญคือการมอบทางเลือกและสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ ตัวอย่างเช่น เพชรสังเคราะห์ร่วงได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์หมวดหมู่ใหม่ที่ได้รับความสนใจและช่วยให้ผู้บริโภคได้สร้างสรรค์และทดลองเลือกงานออกแบบต่างๆ ในราคาที่เอื้อมถึงได้”
ส่วนแบ่งตลาด
Smart เชื่อว่าโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับเพชรสังเคราะห์นั้นอยู่ที่เครื่องประดับแฟชั่นราคาต่ำกว่า 2,000 เหรียญสหรัฐ ซึ่งสอดคล้องกับจุดแข็งของผลิตภัณฑ์นี้
“ผู้บริโภคมีความรู้เกี่ยวกับเพชรสังเคราะห์เพิ่มมากขึ้นและเรายังคงเห็นความต้องการที่ต่อเนื่องจากตลาดหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อให้ตัวเอง การซื้อซ้ำ หรือการซื้อสำหรับโอกาสทั่วไป ผู้ซื้อต้องการผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง ราคาที่โปร่งใสและเข้าถึงได้ รวมถึงเครื่องประดับเพชรสังเคราะห์ที่ออกแบบมาอย่างสวยงาม” Smart กล่าว
Chatelain กล่าวว่าเครื่องประดับแต่งงานก็มีแนวโน้มดีเช่นกัน เนื่องจากปัจจุบันมีการใช้เพชรสังเคราะห์ขนาดใหญ่ ผู้บริโภคจึงหันมาพิจารณาเลือกซื้อเพชรสังเคราะห์ในแหวนหมั้น ทำให้ความต้องการเพิ่มสูงขึ้น
เธอเผยว่า “ในการศึกษาของเราส่วนใหญ่ ผู้ตอบแบบสอบถามเลือกให้เครื่องประดับแฟชั่นเป็นเหตุผล/โอกาสที่มีความสำคัญสูงสุดในการเลือกเครื่องประดับเพชรสังเคราะห์ แต่การเลือกใช้เพชรสังเคราะห์ในกลุ่มเครื่องประดับแต่งงานก็มีแนวโน้มที่เห็นได้ชัดเจนเช่นเดียวกัน ผู้ซื้อจะได้เพชรเม็ดหลักที่มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับการใช้เงินจำนวนเดียวกันซื้อเพชรธรรมชาติจากเหมือง หรือผู้ซื้ออาจเลือกจ่ายเงินน้อยลงเพื่อให้ได้เพชรตามขนาดที่ต้องการก็ได้”
ในรายงานการวิจัยตลาดเพชรสังเคราะห์สำหรับผู้บริโภครุ่นใหม่ (Next Gen Consumer Lab-Grown Diamond Market Research Report) ประจำปี 2022 ของ The MVEye ว่าด้วยคนรุ่นมิลเลนเนียลและ Gen Z นั้น แหวนหมั้นเป็นเหตุผลอันดับสี่ในการเลือกเครื่องประดับเพชรสังเคราะห์ ไม่ว่าจะใช้เป็นเพชรเม็ดหลักหรือเพชรประดับ ตามมาด้วยแหวนแต่งงานของเจ้าสาวและแหวนแต่งงานของเจ้าบ่าว ในขณะที่ของขวัญสำหรับตัวเองและสำหรับผู้อื่นเป็นโอกาสอันดับที่สองและอันดับที่สามในการซื้อเครื่องประดับเพชรสังเคราะห์ ตามลำดับ
“การศึกษาเมื่อเดือนเมษายน 2022 ชี้ให้เห็นว่าในกลุ่มแหวนหมั้นที่มีการซื้อไปนั้นร้อยละ 24 ใช้เพชรสังเคราะห์” Chatelain เสริม
ผู้บริโภคใช้เพชรสังเคราะห์ในพิธีวิวาห์มากขึ้นเรื่อยๆ Ghevriya กล่าวว่าคอลเล็กชันเครื่องประดับแต่งงานของ Smiling Rocks ถือเป็นสินค้าขายดีกลุ่มหนึ่งของทางแบรนด์ เขากำลังฝึกอบรมเรื่องตลาดเครื่องประดับหมั้นและเครื่องประดับแต่งงานให้ตัวแทนจำหน่ายในปีนี้ โดยเชื่อว่าตลาดนี้มีศักยภาพที่จะกลายเป็นเสาหลักของธุรกิจได้
Smiling Rocks ยังได้เจาะเข้าสู่ตลาดเครื่องประดับผู้ชายด้วยคอลเล็กชันแหวนหมั้นที่ทำจากทองหรือแพลทินัมและใช้เพชรสังเคราะห์ขนาด 3 ถึง 4 กะรัตเป็นอัญมณีเม็ดหลัก
อนาคตอันสดใส
Lightbox เปิดตัวในฐานะธุรกิจส่งตรงถึงผู้บริโภค และแต่เดิมทางแบรนด์จะจัดจำหน่ายคอลเล็คชันให้ลูกค้าเฉพาะในสหรัฐอเมริกาผ่านเว็บไซต์ของทางแบรนด์เท่านั้น Smart กล่าวว่าปัจจุบันแบรนด์นี้ส่งสินค้าไปยัง 75 ประเทศทั่วโลกและมีสินค้าปรากฏอยู่ตามร้านค้า 125 แห่งทั่วสหรัฐและแคนาดา
“ทุกวันนี้กิจการของเราเติบโตเกินความคาดหมาย ยอดขายเพิ่มขึ้นสี่เท่าจากปีก่อน และเราคาดว่าจะเพิ่มอีกสองเท่าในปีนี้ เราเพิ่มช่องทางใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอเมริกาเหนือ และคอยประเมินโอกาสที่จะนำผลิตภัณฑ์ของเราไปหาผู้คนให้ได้มากขึ้นและบ่อยครั้งยิ่งขึ้น” เขากล่าว
ความต้องการที่เติบโตขึ้นของผู้บริโภคกำลังสร้างแรงกดดันต่อภาคอุปทาน และกระตุ้นให้ผู้ผลิตเพชรสังเคราะห์ขยายฐานการผลิตของตน Lusix กำลังสร้างโรงงานพลังแสงอาทิตย์แห่งใหม่ในอิสราเอล ขณะที่ Diamond Foundry ลงทุนเป็นเงิน 850 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสร้างโรงงานแห่งที่สองในตรูฮิโย ประเทศสเปน ในขณะที่โรงงานผลิตมูลค่า 94 ล้านเหรียญสหรัฐของ Lightbox ในโอเรกอนมีกำลังการผลิตเพชรสังเคราะห์เจียระไนต่อปีในขั้นแรกอยู่ที่ 200,000 กะรัต ระหว่างช่วงปี 2021 จนมาถึงปลายปี Smart กล่าวว่าในอนาคตบริษัทคาดว่าจะขยายกำลังการผลิตเป็นสามเท่าจากปัจจุบัน
“เพชรสังเคราะห์จะยังคงอยู่ไปอีกนาน เพชรกลุ่มนี้มีระดับราคาที่ต่ำกว่าเพชรธรรมชาติจากเหมืองจึงช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงเพชรได้มากขึ้น เราพบว่าเพชรกลุ่มนี้มีสัดส่วนเติบโตขึ้น แต่ก็ไม่ใช่การแย่งยอดขายของตลาดเพชรธรรมชาติจากเหมืองแต่อย่างใด” Chatelain กล่าว
ข้อมูลอ้างอิง