เพชรสังเคราะห์ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากเพชรสังเคราะห์ได้รับการยกย่องว่าเป็นทางเลือกที่มีจริยธรรมและยั่งยืนเมื่อเทียบกับเพชรที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีของผู้ผลิตหลายรายที่เข้ามาแข่งขันในตลาดนี้ ทำให้ราคาเพชรสังเคราะห์มีราคาลดลงมาก และราคาถูกกว่าเพชรธรรมชาติมากกว่า 50% ซึ่งในอนาคตราคาเพชรสังเคราะห์มีแนวโน้มที่จะมีราคาถูกลงมากกว่า 60-80% เลยทีเดียว

จากข้อมูลของ Statista ได้คาดการณ์ยอดขายเพชรสังเคราะห์ในปี 2567 อยู่ที่ราว 16,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งยังคาดว่ายอดขายจะเพิ่มเป็น 20,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2575 และจากข้อมูลของ The Brainy Insights รายงานว่า ปัจจุบันเพชรสังเคราะห์ขนาดต่ำกว่า 2 กะรัตและเพชรไม่มีสีได้รับความนิยมมากที่สุด โดยผู้ประกอบการมักนำไปทำเครื่องประดับแต่งงาน รวมถึงยังนำไปทำจี้ สร้อยคอ และฝังลงในเข็มขัด นาฬิกา หรือเคสโทรศัพท์อีกด้วย

         จากความนิยมเพชรสังเคราะห์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทเครื่องประดับจำนวนมากจึงนำเสนอเครื่องประดับเพชรสังเคราะห์ให้กับลูกค้าของตนมากขึ้น เพราะเพชรสังเคราะห์มีหลากหลายขนาดและหลายรูปแบบ ทำให้เกิดการใช้งานที่หลากหลาย ธุรกิจจำนวนมากรวมถึงแบรนด์เครื่องประดับที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง Pandora จึงได้เปลี่ยนจากการใช้เพชรแท้มาเป็นเพชรสังเคราะห์แทน

แหวนเพชรสังเคราะห์ แบรนด์ Pandora

สำหรับปัจจัยขับเคลื่อนตลาดเพชรสังเคราะห์ให้เติบโตในปีนี้ ได้แก่ ชนชั้นกลางที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น และกลุ่มชาวมิลเลนเนียล ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคหลักตลาดเพชรสังเคราะห์เชื่อว่าเพชรสังเคราะห์มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย อีกทั้งยังมีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับเพชรธรรมชาติ จึงมีความต้องการซื้อเพชรสังเคราะห์เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ผู้บริโภคยังมีมาตรฐานที่ทำให้สามารถเลือกซื้อเพชรสังเคราะห์ได้อย่างมั่นใจ เนื่องจากในปี 2567 Responsible Jewellery Council (RJC) จะเปิดตัวมาตรฐานสำหรับเพชรสังเคราะห์อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคสำหรับการซื้อเพชรสังเคราะห์มากขึ้น

จัดทำโดย นางสาววาสนา สมเนตร์

สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

17 มกราคม 2567