ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ

สหรัฐฯ เก็บภาษีเพิ่มขึ้น 19% ผลต่ออุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย

Sep 5, 2025
1435 views
0 share

        หลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศชะลอการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้สินค้านำเข้าจากไทยเป็นเวลา 90 วัน (พฤษภาคม – กรกฎาคม 2568) ล่าสุด สหรัฐฯ ได้เริ่มดำเนินการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอีกในอัตรา 19% จากฐานภาษีเดิม (ข้อมูลประกอบในตารางที่ 2 แสดงยอดภาษีนำเข้าสุทธิรายสินค้า) โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป มาตรการดังกล่าวส่งผลโดยตรงต่อภาคการส่งออกของไทย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ มาอย่างต่อเนื่อง อัตราภาษีใหม่นี้ไม่เพียงเพิ่มภาระต้นทุนให้แก่ผู้ส่งออกไทย แต่ยังอาจลดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก บทความนี้จะชวนผู้อ่านมาร่วมหาคำตอบว่า อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยจะได้รับผลกระทบอย่างไร และควรปรับตัวเช่นไรท่ามกลางความท้าทายครั้งนี้

การค้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับระหว่างไทยและสหรัฐฯ

สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกหลักในอันดับต้นๆ ของไทยมาโดยตลอด จากสถิติกรมศุลกากรพบว่า ไทยส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ในช่วงเดือนมกราคม - มิถุนายน 2568 เป็นมูลค่ารวม 7,408.93 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกในอันดับ 3 ของไทย รองจากอินเดีย และฮ่องกง

    สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปยังสหรัฐฯ ได้แก่ เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเงิน พลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน
        
ส่วนแบ่งตลาดอัญมณีและเครื่องประดับในสหรัฐฯ
จากข้อมูลของ Global Trade Atlas พบว่า ในช่วงเดือนมกราคม - มิถุนายน 2568 สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับจากทั่วโลกด้วยมูลค่า 99,250.38 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งนำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 16 ในสัดส่วนร้อยละ 1.09
        
        แม้ว่าไทยจะมีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ เพียง 1% แต่หากพิจารณาเป็นรายสินค้าที่ไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ พบว่า ไทยเป็นผู้ส่งออกเครื่องประดับเงินและพลอยเนื้อแข็งเจียระไนเป็นอันดับที่ 1 ในตลาดสหรัฐฯ และเป็นผู้ส่งออกเครื่องประดับทองไปยังสหรัฐฯ เป็นอันดับที่ 4 ส่วนพลอยเนื้ออ่อนเจียระไนพบว่า ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 2 รองจากบราซิล
อัตราภาษีนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของสหรัฐฯ ในปัจจุบัน
ล่าสุดสหรัฐฯ ได้ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภทจากไทยเป็น 19% ขณะที่เก็บภาษีจากประเทศคู่แข่งของไทย ได้แก่ อินเดียราว 50% เวียดนาม 20% ทั้งนี้ สินค้าอัญมณีและนำเข้าไปยังสหรัฐฯ มีอัตราภาษีนำเข้าเท่าไหร่บ้างสรุปได้ตามตารางที่ 2
        
    
        ที่มา World Tariff ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2568
อย่างไรก็ดี สหรัฐฯ จะปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากอินเดียเพิ่มอีก 25% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าจากอินเดียไปยังสหรัฐฯ สูงเทียบเท่าจีน และสูงกว่าไทยเกือบเท่าตัว ซึ่งยิ่งตอกย้ำความได้เปรียบด้านภาษีของผู้ส่งออกไทยในตลาดสหรัฐฯ
จากตารางภาษีข้างต้น จะเห็นได้ว่าไทยถูกเก็บภาษีนำเข้าน้อยที่สุดในบรรดาคู่แข่งไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งด้านการผลิตอย่างจีน และอินเดีย หรือคู่แข่งของการเป็นฐานตั้งโรงงานผลิตอย่างเวียดนาม ซึ่งการที่ไทยถูกเก็บภาษีน้อยกว่าคู่แข่งจะเป็นโอกาสของไทย ดังนี้ 
        1. ความสามารถแข่งขันด้านราคาเพิ่มขึ้น สินค้าไทยจะมีราคาขายในตลาดสหรัฐ ต่ำกว่าคู่แข่ง เพราะภาษีนำเข้าต่ำกว่า ทำให้ผู้ซื้อมีแรงจูงใจเลือกซื้อสินค้าจากไทยมากขึ้น เพิ่มโอกาสส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไปยังสหรัฐฯ มากขึ้น
        2. ขยายส่วนแบ่งตลาด ผู้นำเข้าสหรัฐฯ อาจลดการนำเข้าสินค้าจากอินเดียและจีน ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดเครื่องประดับเงินและเครื่องประดับทอง และหันมาสั่งซื้อจากไทยมากขึ้น เนื่องจากต้นทุนของสินค้าไทยต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ประกอบกับชื่อเสียงด้านคุณภาพการผลิตและฝีมือช่างที่ประณีตของไทย ซึ่งได้รับการยอมรับในตลาดโลก ทำให้ไทยมีโอกาสช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นได้
        3. บริษัทในจีนอาจย้ายฐานการผลิตมาไทย บริษัทต่างชาติหรือบริษัทของจีน มีแนวโน้มที่จะย้ายฐานการผลิตมาไทยมากขึ้น เพราะภาษีนำเข้าจากไทยไปสหรัฐฯ อยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับชื่อเสียงด้านฝีมือการผลิตเครื่องประดับและการเจียระไนอัญมณี ซึ่งเป็นจุดแข็งของไทยดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ขณะที่การย้ายฐานการผลิตไปเวียดนามยังคงมีอยู่ เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยและเวียดนามมีความใกล้เคียงกัน อีกทั้งเวียดนามมีต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่าไทย และมีโนยบายดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ จึงทำให้เวียดนามยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการบางกลุ่ม
        อย่างไรก็ดี สินค้าเครื่องประดับของไทยส่วนหนึ่งยังคงพึ่งพาสินค้ากึ่งสำเร็จรูปจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการนำเข้าตัวเรือนเครื่องประดับ ซึ่งผลิตจากประเทศจีน แม้ว่า ณ วันนี้ ทางสหรัฐฯ จะยังไม่เข้มงวดกับรายละเอียดของวัตถุดิบที่นำมาประกอบ (Roos: Rules of Origin) และการกำหนดอัตราภาษี Transshipment อย่างชัดเจน จึงควรต้องระมัดระวังและปรับตัวในแง่การพึ่งพาวัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูปจากต่างประเทศด้วย 
        นอกจากนี้ แม้ภาษีนำเข้าจะเป็นข้อได้เปรียบสำคัญ แต่ไทยยังต้องเผชิญปัจจัยท้าทายอื่นๆ เช่น ค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง ราคาวัตถุดิบและค่าขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งล้วนลดทอนความได้เปรียบทางภาษีลงไป อีกทั้งผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องเร่งยกระดับกระบวนการผลิตให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าสหรัฐฯ ทั้งด้านคุณภาพ ดีไซน์ และมาตรฐาน พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์การตลาดเชิงรุกที่เจาะตรงกลุ่มเป้าหมาย เพื่อสร้างความแตกต่างและขยายโอกาสทางการค้าในตลาดสหรัฐฯ อย่างยั่งยืน

จัดทำโดย นางสาววาสนา สมเนตร์
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
กันยายน 2568

----------------------------

       





เอกสารแนบ


ความคิดเห็น


ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ

สหรัฐฯ เก็บภาษีเพิ่มขึ้น 19% ผลต่ออุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย

Sep 5, 2025
1435 views
0 share

        หลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศชะลอการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้สินค้านำเข้าจากไทยเป็นเวลา 90 วัน (พฤษภาคม – กรกฎาคม 2568) ล่าสุด สหรัฐฯ ได้เริ่มดำเนินการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอีกในอัตรา 19% จากฐานภาษีเดิม (ข้อมูลประกอบในตารางที่ 2 แสดงยอดภาษีนำเข้าสุทธิรายสินค้า) โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป มาตรการดังกล่าวส่งผลโดยตรงต่อภาคการส่งออกของไทย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ มาอย่างต่อเนื่อง อัตราภาษีใหม่นี้ไม่เพียงเพิ่มภาระต้นทุนให้แก่ผู้ส่งออกไทย แต่ยังอาจลดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก บทความนี้จะชวนผู้อ่านมาร่วมหาคำตอบว่า อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยจะได้รับผลกระทบอย่างไร และควรปรับตัวเช่นไรท่ามกลางความท้าทายครั้งนี้

การค้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับระหว่างไทยและสหรัฐฯ

สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกหลักในอันดับต้นๆ ของไทยมาโดยตลอด จากสถิติกรมศุลกากรพบว่า ไทยส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ในช่วงเดือนมกราคม - มิถุนายน 2568 เป็นมูลค่ารวม 7,408.93 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกในอันดับ 3 ของไทย รองจากอินเดีย และฮ่องกง

    สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปยังสหรัฐฯ ได้แก่ เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเงิน พลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน
        
ส่วนแบ่งตลาดอัญมณีและเครื่องประดับในสหรัฐฯ
จากข้อมูลของ Global Trade Atlas พบว่า ในช่วงเดือนมกราคม - มิถุนายน 2568 สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับจากทั่วโลกด้วยมูลค่า 99,250.38 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งนำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 16 ในสัดส่วนร้อยละ 1.09
        
        แม้ว่าไทยจะมีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ เพียง 1% แต่หากพิจารณาเป็นรายสินค้าที่ไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ พบว่า ไทยเป็นผู้ส่งออกเครื่องประดับเงินและพลอยเนื้อแข็งเจียระไนเป็นอันดับที่ 1 ในตลาดสหรัฐฯ และเป็นผู้ส่งออกเครื่องประดับทองไปยังสหรัฐฯ เป็นอันดับที่ 4 ส่วนพลอยเนื้ออ่อนเจียระไนพบว่า ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 2 รองจากบราซิล
อัตราภาษีนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของสหรัฐฯ ในปัจจุบัน
ล่าสุดสหรัฐฯ ได้ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภทจากไทยเป็น 19% ขณะที่เก็บภาษีจากประเทศคู่แข่งของไทย ได้แก่ อินเดียราว 50% เวียดนาม 20% ทั้งนี้ สินค้าอัญมณีและนำเข้าไปยังสหรัฐฯ มีอัตราภาษีนำเข้าเท่าไหร่บ้างสรุปได้ตามตารางที่ 2
        
    
        ที่มา World Tariff ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2568
อย่างไรก็ดี สหรัฐฯ จะปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากอินเดียเพิ่มอีก 25% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าจากอินเดียไปยังสหรัฐฯ สูงเทียบเท่าจีน และสูงกว่าไทยเกือบเท่าตัว ซึ่งยิ่งตอกย้ำความได้เปรียบด้านภาษีของผู้ส่งออกไทยในตลาดสหรัฐฯ
จากตารางภาษีข้างต้น จะเห็นได้ว่าไทยถูกเก็บภาษีนำเข้าน้อยที่สุดในบรรดาคู่แข่งไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งด้านการผลิตอย่างจีน และอินเดีย หรือคู่แข่งของการเป็นฐานตั้งโรงงานผลิตอย่างเวียดนาม ซึ่งการที่ไทยถูกเก็บภาษีน้อยกว่าคู่แข่งจะเป็นโอกาสของไทย ดังนี้ 
        1. ความสามารถแข่งขันด้านราคาเพิ่มขึ้น สินค้าไทยจะมีราคาขายในตลาดสหรัฐ ต่ำกว่าคู่แข่ง เพราะภาษีนำเข้าต่ำกว่า ทำให้ผู้ซื้อมีแรงจูงใจเลือกซื้อสินค้าจากไทยมากขึ้น เพิ่มโอกาสส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไปยังสหรัฐฯ มากขึ้น
        2. ขยายส่วนแบ่งตลาด ผู้นำเข้าสหรัฐฯ อาจลดการนำเข้าสินค้าจากอินเดียและจีน ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดเครื่องประดับเงินและเครื่องประดับทอง และหันมาสั่งซื้อจากไทยมากขึ้น เนื่องจากต้นทุนของสินค้าไทยต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ประกอบกับชื่อเสียงด้านคุณภาพการผลิตและฝีมือช่างที่ประณีตของไทย ซึ่งได้รับการยอมรับในตลาดโลก ทำให้ไทยมีโอกาสช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นได้
        3. บริษัทในจีนอาจย้ายฐานการผลิตมาไทย บริษัทต่างชาติหรือบริษัทของจีน มีแนวโน้มที่จะย้ายฐานการผลิตมาไทยมากขึ้น เพราะภาษีนำเข้าจากไทยไปสหรัฐฯ อยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับชื่อเสียงด้านฝีมือการผลิตเครื่องประดับและการเจียระไนอัญมณี ซึ่งเป็นจุดแข็งของไทยดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ขณะที่การย้ายฐานการผลิตไปเวียดนามยังคงมีอยู่ เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยและเวียดนามมีความใกล้เคียงกัน อีกทั้งเวียดนามมีต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่าไทย และมีโนยบายดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ จึงทำให้เวียดนามยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการบางกลุ่ม
        อย่างไรก็ดี สินค้าเครื่องประดับของไทยส่วนหนึ่งยังคงพึ่งพาสินค้ากึ่งสำเร็จรูปจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการนำเข้าตัวเรือนเครื่องประดับ ซึ่งผลิตจากประเทศจีน แม้ว่า ณ วันนี้ ทางสหรัฐฯ จะยังไม่เข้มงวดกับรายละเอียดของวัตถุดิบที่นำมาประกอบ (Roos: Rules of Origin) และการกำหนดอัตราภาษี Transshipment อย่างชัดเจน จึงควรต้องระมัดระวังและปรับตัวในแง่การพึ่งพาวัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูปจากต่างประเทศด้วย 
        นอกจากนี้ แม้ภาษีนำเข้าจะเป็นข้อได้เปรียบสำคัญ แต่ไทยยังต้องเผชิญปัจจัยท้าทายอื่นๆ เช่น ค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง ราคาวัตถุดิบและค่าขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งล้วนลดทอนความได้เปรียบทางภาษีลงไป อีกทั้งผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องเร่งยกระดับกระบวนการผลิตให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าสหรัฐฯ ทั้งด้านคุณภาพ ดีไซน์ และมาตรฐาน พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์การตลาดเชิงรุกที่เจาะตรงกลุ่มเป้าหมาย เพื่อสร้างความแตกต่างและขยายโอกาสทางการค้าในตลาดสหรัฐฯ อย่างยั่งยืน

จัดทำโดย นางสาววาสนา สมเนตร์
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
กันยายน 2568

----------------------------

       





เอกสารแนบ

เราใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ นโยบายคุกกี้   ตั้งค่า ยอมรับ

×
140 อาคารไอทีเอฟ ทาวเวอร์ ชั้น 4 ถนนสีลม แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500
โทรศัพท์: 0 2634 4999 ต่อ 444
โทรสาร: 0 2634 4970
external-site